วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2552

บทความเรื่อง # "หน้าขาวใส" หลากหลายวิธี มากมายเทคโนโลยี่




"ผิวหน้าขาวใส" จัดเป็นความต้องการอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่รักความสวยงาม ไม่ว่าเพศไหน วัยไหน เป็นค่านิยมที่ฮิตติดเทรนด์ ยิ่งไม่มีสิว ฝ้า กระ รอยด่างดำ แผลเป็น รอยหลุม จึงเป็นยอดปรารถณาเป็นอย่างยิ่ง โดยถือว่าหน้าตาจะอย่างไร แต่ถ้าผิวขาวเนียนใส ก็มีชัยไปกว่าครึ่ง สำหรับความประทับใจตั้งแต่แรกพบ ดังนั้นกรรมวิธีในการทำให้หน้าขาวใส
จึงได้มีวิวัฒนาการกันมาเรื่อยๆ และมีมากมายหลากหลายวิธี ทั้งแบบธรรมดา เช่น ทาครีมกันแดด หรือทาไวเทนนิ่งครีมทั้งหลาย จนถึงไฮเทคด้วยเทคโนโลยี่ใหม่ๆ จนหลายคนเริ่มสับสนว่าจะเลือกวิธีไหนดีในการทำให้หน้าขาวใส ดังนั้นผู้เขียนจึงพยายามจะรวบรวมเทคนิคหน้าใสต่างๆ เหล่านี้ ไว้ในบทความนี้ เพื่อสะดวกในการเลือกใช้ให้เหมาะสมกับผิวหน้า ปัญหา และความต้องการของแต่ละท่าน
อยากหน้าใส เลือกทำอะไรดี มีให้หลากหลาย ดังนี้ 1. Whitening Agents : คือการทาครีมทำให้หน้าขาว ซึ่งตามปกติ สีผิวของคนเรา จะแตกต่างกันแล้วแต่เชื้อชาติและกรรมพันธุ์ โดยอาศัยขบวนการในการสร้างเม็ดสีในร่างกาย เราเรียกว่า Melanogenesis กลไกการสร้างตามขบวนการดังกล่าว มีรายละเอียดพอสังเขปดังนี้ melanocyte (เซลล์ชนิดหนึ่งในชั้นผิวหนังกำพร้า) ประกอบด้วยส่วนประกอบที่เรียกว่า Melanosome ซึ่งใช้ เอนไซม์ Tyrosinase ในการผลิตเม็ดสี Melanin ซึ่งปริมาณของเม็ดสีเมลานิน จะเป็นตัวบ่งบอกสีผิว ยิ่งมีเม็ดสีเมลานินมาก ก็จะยิ่งทำให้สีผิวดำคล้ำมาก ดังนั้น ครีม หรือสารทั้งหลาย ที่จะทำให้สีผิวขาวขึ้นต้องมีฤทธิ์ในการรบกวน ขบวนการสร้างเม็ดสีดังกล่าวให้ลดลง ดังนั้นเมื่อใช้ไปนานๆ ก็จะค่อยๆ ทำให้สีผิวขาวขึ้นได้ระดับหนึ่ง ปัจจุบันมีตัวยาที่มีสรรพคุณดังกล่าว ออกมาสู่ท้องตลาดมากมาย เช่น Vitamin C,Licorice,Kojic acid,Albutin, Green Tea Extract, Compositae(สารสกัดจาก matricaria) อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ http://www.clinicneo.co.th/2007/detailcolumn.php?grp=6&&col_id=28 ข้อเด่น : ทำให้สีผิวค่อยๆ ขาวขึ้น โดยไม่พบผลข้างเคียงใดๆ (ยกเว้นในรายที่แพ้ตัวยาบางตัว) การได้ผลก็แตกต่างกันแล้วแต่ว่าเลือกใช้สารไวเทนนิ่งตัวไหน หรือผสมกัน กี่ตัว ค่าใช้จ่ายจึงแตกต่างกันแล้วแต่ยี่ห้อและตัวยาที่ใช้ ซึ่งจะตกประมาณ 50-800 บาทต่อหลอดหรือตลับ สามารถใช้ได้ทุกวันต่อเนื่อง ไม่ทำให้ผิวหน้าบางลง ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ ข้อด้อย: ได้ผลในระดับหนึ่ง และให้ผลช้า ค่อยเป็นค่อยไป ไม่เหมาะกับผู้ที่ใจร้อน 2. Beaching Agents : คือ กลุ่มยาหรือครีมที่ทำให้ผิวหน้าลอกออก จึงทำให้รอยด่างดำ หรือรอยหมองคล้ำ หลุดลอกไป ผิวหน้าก็จะขาวขึ้น ซึ่งครีมในกลุ่มนี้ ที่นิยมใช้ในปัจจุบัน ก็ได้แก่ กลุ่มที่ผสมกรดผลไม้ทั้งหลาย เช่น AHA,BHA,PHA ซึ่งก็จะผสมแตกต่างกันไปแล้วแต่ความเข้มข้น ยิ่งเข้มข้นมากก็จะทำให้ลอกได้มาก ผิวหน้าขาวไว ศึกษารายละเอียด เพิ่มเติมได้ที่นี่ http://www.clinicneo.co.th/2007/detailcolumn.php?grp=1&&col_id=120 ข้อเด่น : ได้ผลไวกว่าการทาไวเทนนิ่งครีม ยิ่งลอกได้มาก ก็ยิ่งขาวได้มาก ค่าใช้จ่ายก็แล้วแต่การเลือกใช้ตัวไหน ความเข้มข้นเท่าไหร่ ซึ่งค่าใช้จ่ายก็ตกประมาณ 100-400 บาท ต่อตลับหรือหลอด ข้อด้อย: ถ้าใช้บ่อยๆ อาจจะทำให้ผิวหน้าบางลง และไวต่อแสงยูวีได้ นอกจากนี้ยังอาจจะทำให้ลอกไม่เท่ากัน สีผิวอาจจะขาวไม่เท่ากันได้ หรืออาจจะเกิด การระคายเคืองผิว ถ้าใช้ความเข้มข้นมากๆ หรือเกิดอาการแพ้ได้ 3. Chemical Peeling : คือ การเร่งให้ผิวหนังหลุดลอกออกเร็วขึ้น โดยใช้สารเคมี อาทิ กรดผลไม้เข้มข้น เช่น 30-70 % AHAs,30-50% TCA มักจะใช้ในคลินิกผิวพรรณ และสถานเสริมความงามต่างๆ การเลือกใช้สารเคมีใด ความเข้มข้นเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของ แพทย์ผิวหนัง ในการใช้แก้ปัญหาด้านผิวพรรณ โดยมีหลักการรักษา คือทำให้เกิดการทำลายเซลล์ผิวหนังให้น้อยที่สุด และมีการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ให้มากที่สุด ค่าใช้จ่ายก็จะประมาณ 100-300 บาทต่อครั้ง อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ http://www.clinicneo.co.th/2007/detailcolumn.php?grp=9&&col_id=122 ข้อเด่น : ผิวหน้าขาวไวภายใน 3-7 วันหลังทำ นอกจากนี้ยังช่วยทำให้รอยด่างดำ ฝ้า กระ จางลงได้ ข้อด้อย: ทำให้ผิวหน้าลอกได้มากๆ ผิวหน้าจะบางลงได้ถ้าทำบ่อยๆ ปกติมักจะให้ทำทุก 2-4 อาทิตย์ ในบางรายที่แพ้สารเคมีที่ใช้ แทนที่ผิวหน้าจะขาวใส อาจจะแพ้ แดง ระคายเคือง ผิวหน้าไหม้เกรียม ดำคล้ำขึ้นกว่าเดิมก็ได้ 4. Iontophoresis : คือขบวนการในการทำให้ไวเทนนิ่งครีมในข้อ 1. มาทำการแตกตัวเป็นประจุ เพื่อให้ตัวยาซึมลึกเข้าสู่ผิวได้ดีขึ้น ด้วยเครื่องไอออนโต ซึ่งเป็นเครื่องอีเลคโทรนิคอย่างหนึ่ง จึงทำให้ได้ผลมากขึ้น และเร็วขึ้นกว่าการทาไวเทนนิ่งครีมปกติ ไอออนโต ได้มีการนำมาใช้ในการแก้ปัญหาด้านผิวพรรณกันอย่างแพร่หลายในระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา และได้รับความนิยมกันมาก เพราะราคาไม่แพง ประมาณ 150-300 บาทต่อครั้ง และส่วนใหญ่จะอยู่ในความดูแลของแพทย์ ซึ่งจะทราบถึงปัญหาของคนไข้ และพิจารณาเลือกใช้ยาที่จะมาผ่านเครื่องไอออนโต เพื่อให้แก้ไขปัญหาไห้ถูกจุด อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ http://www.clinicneo.co.th/2007/detailcolumn.php?grp=9&&col_id=113 ข้อเด่น : การรักษาด้วยไอออนโต มีความปลอดภัย และมีผลข้างเคียงน้อยมาก หลังการรักษาสามารถ ใช้ยาหรือครีมทาได้ตามปกติ ออกแดดได้ ผิวหน้าจะลอกเป็นขุยไม่มาก หรือ ไม่ลอกเลย สามารถมาทำได้บ่อย 2-3 ครั้งต่ออาทิตย์ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ผิวหน้าขาวใส มักจะใช้กับคนที่ผิวมัน และมีสิว เพราะจะช่วยทำให้ผิวหน้าแห้งลงได้ สิวลดลงได้เช่นกัน ข้อด้อย: ช่วงเวลาที่ทำ อาจจะต้องใช้เวลานาน 15-20 นาที อาจจะรู้สึกเจ็บหรือคันยุบยิบในระหว่างทำ (ซึ่งบางคนไม่ชอบ ) ไม่สามารถทำได้ทุกจุดบนใบหน้า โดยเฉพาะรอบดวงตา หรือรอบขอบจมูก บางคนอาจจะทำให้สิวเห่อมากขึ้นได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติผิวหน้าแพ้ง่าย นอกจากนี้ ยังมีข้อถกเถียงกันในวงการแพทย์ผิวหนัง ว่าการรักษาด้วยไออออนโต สามารถผลักยาลงไปได้จริงหรือไม่ มีทั้งผลงานวิจัยที่สนับสนุน และคัดค้าน คงต้องติดตามกันต่อไป 5. Phonophoresis : คือ เทคนิคการทำให้ผิวหน้าขาวใส โดยเครื่อง อัลตราโซนิค โดยใช้คลื่นความถี่สูง 20,000 Hz ผลักตัวยากลุ่มไวเทนนิ่งให้ลงลึกสู่ผิวหน้า ไปออกฤทธิ์ได้เร็วขึ้น ซึ่งแตกต่างจากเครื่องไอออนโต ที่ใช้การแตกประจุยา แล้วให้ประจุบวก หรือ ลบ ผลักยาลงไปที่ผิวหนัง ค่าใช้จ่ายประมาณ 300-500 บาทต่อครั้ง อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ http://www.clinicneo.co.th/2007/detailcolumn.php?grp=9&&col_id=124 ข้อเด่น : ทำให้ผิวหน้าเนียนใสได้ โดยที่ไม่รู้สึกเจ็บปวด หรือคันยุบยิบเหมือนการทำไอออนโต นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตให้ดีขึ้น ช่วยทำให้กระชับผิวหน้า ลดริ้วรอยได้ด้วย เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวแห้ง ข้อด้อย: ไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวหน้ามัน เพราะกระตุ้นให้เกิดสิวเห่อขึ้นได้ ได้ผลการรักษาช้า 6. การกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี(Microdermabrasion) : เป็นการกรอผิวหนังที่มีปัญหาในชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) ให้หลุดลอกออกด้วยเกร็ดอัญมณีขนาดเล็กมาก ประมาณ 100 Micron ซึ่งผลึกครีสตัลที่นิยมใช้ ก็คือ ผงAluminium Oxide โดยให้วิ่งตามการพ่นของเครื่องปั๊มในกระบอกสูญญากาศที่ปลอดเชื้อ ( Air flow in Sterile Closed system) โดยมีการปรับความแรง ความเร็วในการพ่นผลึกดังกล่าวได้ตามต้องการของผู้ใช้ และก็มีขนาดของผลึกครีสตัลแตกต่างกันให้เลือก แล้วแต่จุดประสงค์ในการใช้งาน การกรอผิวจะใช้เวลาประมาณ 5-15 นาที หลังกรอผิว ผิวหน้าจะขาวใสได้ในทันที เพราะผิวหน้าที่มีปัญหา รอยด่างดำ หมองคล้ำ จะลอกออกทันทีหลังทำ ค่าใช้จ่ายประมาณ 500-1000 บาทต่อครั้ง อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ http://www.clinicneo.co.th/2007/detailcolumn.php?grp=9&&col_id=197
ข้อเด่น : ทำให้ผิวหน้าขาวใส ได้ในทันทีหลังทำ แต่จะมากน้อย แค่ไหน ขึ้นอยู่กับความลึกตื้นในการกรอผิว ระยะเวลาในการทำ นอกจากนี้ยังช่วยทำให้ ผิวหน้ามันลดลง รูขุมขนกระชับขึ้นได้ ข้อด้อย: ขณะทำการกรอผิว อาจจะรู้สึกแสบเคือง ระคายผิว และเจ็บในระหว่างที่ทำ และไม่สามารถทำได้ในผู้ที่มีปัญหาสิวอักเสบรุนแรง หรือผิวแพ้ง่าย หลังทำต้องเลี่ยงแดด ถ้าทำบ่อยๆ อาจจะทำให้ผิวหน้าบางลงได้ 7. Mesotherapy : เป็นการรักษารูปแบบหนึ่งในการทำให้ผิวหน้าขาวใส โดยฉีดสารไวเทนนิ่งที่มีส่วนผสมขนานต่างๆ เช่น วิตามินเอ ซี Glutathione,Placental Extracts เข้าสู่ผิวชั้นใน (ในชั้น Mesoderm) ซึ่งอยู่ใต้ผิวหนัง ชั้นหนังแท้ (Dermis) เพื่อจุดมุ่งหมายในการยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน ซึ่งถือว่าได้ผลดีเพราะตัวยา แทรกซึมเข้าไปลึกถึงชั้นผิวที่ผลิตเม็ดสีได้ตามต้องการ ค่าใช้จ่ายต่อครั้งประมาณ 3,000 บาท ทำซ้ำกันทุก 2-3 อาทิตย์ต่อครั้ง นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มการไหลเวียนของระบบโลหิตและระบบน้ำเหลือง ทำให้ผิวหน้าอ่อนเยาว์และช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เสมือนเติมอาหารและวิตามินให้แก่ผิวโดยตรง ข้อเด่น : ทำให้ผิวหน้าขาวใสได้ภายใน 1-3 วันหลังทำ และไม่ต้องทำบ่อยๆ อาจจะทำห่างกันเดือนละ 1-2 ครั้ง ก็ยังจะคงความขาวใสได้นาน ข้อด้อย : อาจจะมีความรู้สึกเจ็บ ในขณะที่ทำ เพราะเหมือนมีเข็มเล็กๆ ฉีดไปทั่วใบหน้า และมีราคาค่อนข้างแพง ในบางคนอาจจะเกิดการอักเสบ หรือคัน บวมแดง และเกิดจุดเลือดออกบริเวณที่ฉีดได้ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ http://www.clinicneo.co.th/2007/detailcolumn.php?grp=9&&col_id=262 ข้อห้ามในการทำ Mesotherapy มีกำหนดไว้ดังนี้ 1. สตรีมีครรภ์ 2. คนไข้โรคเบาหวานที่ต้องฉีดอินซูลินเป็นประจำ 3. คนไข้ที่มีประวัติโรคระบบหลอดเลือดผิดปกติในสมอง เช่น เส้นเลือดสมองตีบ หรืออุดตัน 4. คนไข้ที่มีประวัติโรคเลือดผิดปกติ โรคมะเร็ง 5. คนไข้ที่มีประวัติโรคหัวใจ และทำการรักษาด้วยยาหลายขนาน 8. เลเซอร์หน้าใส IPL : IPL(Intense Pulse Light) เป็นเครื่องมือที่ปล่อยคลื่นแสงความถี่จำเพาะ หลากหลายคลื่นความถี่โดยมีการคัดกรองด้วย ฟิลเตอร์ เพื่อใช้ในการรักษาปัญหาผิวพรรณ แสงที่ปล่อยออกมา บางคนเรียกว่า laser-like light จัดว่าเป็นเทคโนโลยี่ล่าสุดที่คนนิยมทำ ที่เรียกว่าเลเซอร์หน้าใส เพราะเมื่อนำมาฉายคลื่นแสงที่ผิวหน้า จะเลือกใช้คลื่นความถี่ช่วง 500-600 nm. ( ที่นิยมใช้คือ 532 nm.) จะมีสรรพคุณในการยับยั้งการสร้างเม็ดสี ในขบวนการ Melanogenesis ในชั้นผิวหนัง จึงทำให้ผิวหน้าเนียนใสได้ลึกขึ้น หรือเรียกว่า ใสจากภายใน ค่าใช้จ่ายในการทำ ประมาณ 2,000-5,000 บาทต่อครั้ง อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ http://www.clinicneo.co.th/2007/detailcolumn.php?grp=9&&col_id=111 ข้อเด่น : ขณะที่ทำ คนไข้จะไม่เจ็บ ใช้เวลาไม่นาน และเห็นผลในการทำให้หน้าใสได้ไว สังเกตความเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังทำ และสามารถขาวใสได้นานกว่า วิธีอื่นๆ และไม่ต้องทำบ่อยนัก ประมาณเดือนละ 1-2 ครั้ง ซึ่งถ้าคิดค่าใช้จ่ายโดยรวมก็ไม่ได้แพงมากกว่าวิธีอื่นๆ ในระยะเวลาที่เท่ากัน แต่ได้ความขาวเนียนใสได้มากกว่า และสามารถ ใช้ได้กับทุกสภาพสีผิว และผิวหน้าทุกประเภท ทั้งผิวแห้ง ผิวมัน หรือผิวแพ้ง่าย ไม่พบผลข้างเคียงใดๆ นอกจากนี้ยังช่วยทำให้ผิวหน้ากระชับขึ้น กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้รูขุมขนกระชับ ข้อด้อย: ในคนที่สีผิวคล้ำ หรือเพิ่งตากแดดมา อาจจะต้องระมัดระวัง เพราะผิวอาจจะไวต่อแสง ทำให้หน้าคล้ำได้ จึงต้องเลือกเครื่องมือ IPL ที่มีคุณภาพเชื่อถือได้ และแพทย์ต้องมีความชำนาญในการทำพอสมควร 9. การมาสค์หน้าหรือการทำสปาผิวหน้า : วิธีการนี้มีหลากหลายวิธี หลายขั้นตอน และมีมานานแต่โบราณ แต่ก็ยังถือว่าเป็นที่นิยมอยู่มาก เพราะมีการพัฒนา ลูกเล่น เทคนิคต่างๆ ให้ผู้รับบริการติดใจ เพราะเหมือนการได้ผ่อนคลายผิวหน้า เพราะมีการนวดหน้า ขัดหน้า มาสค์ด้วยครีม ตัวยาที่ใช้ก็แตกต่างกันไปแล้วแต่สูตรเฉพาะของแต่ละที่ แต่มักจะมีสรรพคุณในการทำสะอาดที่ล้ำลึก หรือมีสารพอกหน้าทำให้ขาว เช่นอาจจะมีส่วนผสมของสารที่มีสีขาว มักจะใช้ในสถานเสริมสวยต่างๆ เช่น ร้านทำผม สปาทั้งหลาย ค่าใช้จ่ายแตกต่างกัน ตั้งแต่ 100-1500 บาท ต่อครั้ง ข้อเด่น : หน้าขาวได้ไว หลังทำสังเกตได้ชัดเจน เพราะเหมือนมีสารสีขาวเคลือบที่ผิวหน้า เหมาะสำหรับกรณีที่ต้องออกงานฉุกเฉิน รอไม่ได้ ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย และเหมือนว่ามีวิธีการทำมากมาย ให้บริการ ผู้รับบริการจะเกิดความรู้สึกว่าคุ้มค่ากว่าวิธีอื่นๆ และที่สำคัญราคาไม่แพง ข้อด้อย: อาจจะแพ้หรือระคายเคือง กับตัวยาที่ใช้มาสค์หน้าหรือขัดหน้า ไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย การขาวใสของผิว เป็นเพียงชั่วคราวไม่กี่วัน เมื่อล้างหน้า ออกในครั้งต่อๆ ไป สีผิวจะกลับมาเหมือนเดิมได้เร็วกว่าวิธีอื่นๆ 10. Oxygen -Jet Peel : จัดเป็นนวัตกรรมใหม่ที่พลิกโฉม การ Peeling ที่ทำให้หน้าขาวใส แบบเดิมๆ โดย ออกซิเจนจากการหายใจ จะถูกนำพามาถึงชั้นผิวหนังทางเส้นเลือดด้านใต้ชั้นผิวหนัง ด้วยความแรงสูงที่ความเร็ว 200 เมตรต่อวินาที (Jet Spray ) ซึ่งจะช่วยชะล้างสิ่งสกปรกในผิวหน้าได้ล้ำลึกยิ่งขึ้น ทำให้รูขุมขนกระชับขึ้น เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ทำให้ผิวเนียนนุ่ม นอกจากนี้ ออกซิเจน มีสรรพคุณเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ(Anti-Oxidants) ที่ดี จึงช่วยลดริ้วรอย แก่ก่อนวัย อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่นี่ http://www.clinicneo.co.th/2007/detailcolumn.php?grp=9&col_id=351 ข้อเด่น : หน้าขาวได้ไว หลังทำสังเกตได้ชัดเจน ไม่พบผลข้างเคียงใดๆ หน้าไม่ลอก ไม่ต้องเลี่ยงแดด ที่สำคัญ ไม่ต้องทดสอบการแพ้ต่อตัวยาหรือสารเคมีที่ใช้ เนื่องจากใช้เพียงน้ำเกลือสะอาดผสมออกซิเจนบริสุทธิ์ ในการดูแลรักษาผิวพรรณ เหมาะกับทุกสภาพผิว แม้ผิวที่แพ้ง่าย หลังรับบริการจะเกิดความรู้สึกว่าคุ้มค่ากว่าวิธีอื่นๆ และที่สำคัญราคาไม่แพง ข้อด้อย: อาจจะต้องทำบ่อยๆ ทุก 1-2 อาทิตย์ เพราะผิวพรรณต้องได้รับการดูแลและบำรุงอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า กรรมวิธีหลากหลายนี้ ต่างก็ช่วยให้สีผิวหน้าขาวใส ได้ตามต้องการ ผู้อ่านควรพิจารณาจากข้อเด่น ข้อด้อยข้างบน แล้วเปรียบเทียบให้เหมาะสมกับสภาพผิว ความต้องการ และงบประมาณ แต่ทุกๆ วิธี ก็ไม่ได้ทำให้ดีขึ้น ขาวขึ้น ได้อย่างถาวร ต่างก็ต้องหมั่นดูแล ทำทรีทเม้นต์ทั้งหลายอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ที่สำคัญ ถ้าไม่เลี่ยงแดด ทากันแดด หรือขาดความต่อเนื่องในการรักษา วิธีพิเศษทั้งหลายเหล่านี้ที่ทำไป ก็ไม่ก่อให้เกิดผลดีอย่างไร เพราะในที่สุด สังขารของผิวพรรณก็ต้องร่วงโรยไปตามกาลเวลาที่มากขึ้น เรียบเรียงและค้นคว้าโดย นพ.จรัสพล รินทระ .............................28 Febuary,2007

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น